ผู้เขียน

ดูทั้งหมด

บทความ โดย Kirsten Holmberg

ช็อกโกแลตเกล็ดหิมะ

ชาวเมืองออลเทน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ต่างตะลึงกับเศษช็อกโกแลตที่โปรยปรายลงมาทั่วเมือง ระบบระบายอากาศของโรงงานช็อกโกแลตในบริเวณใกล้เคียงทำงานผิดปกติ โดยปล่อยผงโกโก้ออกไปในอากาศและทำให้บริเวณนั้นถูกปกคลุมด้วยละอองผงของขนมหวาน การเคลือบด้วยช็อกโกแลตฟังดูเหมือนฝันที่เป็นจริงสำหรับคนที่คลั่งไคล้ช็อกโกแลต!

แม้ว่าช็อกโกแลตจะไม่ได้ให้คุณค่าทางโภชนาการที่เพียงพอต่อความต้องการของคนๆหนึ่ง แต่พระเจ้าประทานอาหารดุจฝนจากท้องฟ้าให้กับคนอิสราเอลที่เพียงพอ เมื่อพวกเขาเดินทางผ่านถิ่นทุรกันดาร พวกเขาเริ่มคร่ำครวญถึงอาหารนานาชนิดที่ตนทิ้งไว้เมื่อออกจากอียิปต์ พระเจ้าจึงตรัสว่าจะประทาน “อาหารตกลงมาจากท้องฟ้าดุจฝน” เพื่อค้ำจุนพวกเขา (อพย.16:4) ทุกวันเมื่อน้ำค้างยามเช้าเหือดแห้ง จะยังคงมีอาหารเกล็ดเล็กๆเหลืออยู่ ชนชาติอิสราเอลประมาณสองล้านคนได้รับคำสั่งให้เก็บรวบรวมเท่าที่พวกเขาพอรับประทานอิ่มในวันนั้น เป็นเวลาสี่สิบปีที่พวกเขาวนเวียนในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาได้รับการบำรุงเลี้ยงด้วยมานาซึ่งเป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าที่เหนือธรรมชาติ

เรารู้เรื่องมานาเพียงเล็กน้อยว่า “เป็นเม็ดขาวเหมือนเมล็ดผักชี มีรสเหมือนขนมแผ่นประสมน้ำผึ้ง” (ข้อ 31) แม้ว่ามานาอาจฟังดูไม่น่าดึงดูดเท่าการกินช็อกโกแลต แต่ความหวานชื่นในการจัดเตรียมของพระเจ้าเพื่อประชากรของพระองค์นั้นชัดเจน มานานำเราไปยังพระเยซูผู้ทรงเรียกพระองค์เองว่า “อาหารแห่งชีวิต” (ยน.6:48) ซึ่งค้ำจุนเราทุกวันและให้ความมั่นใจเรื่องชีวิตนิรันดร์แก่เรา (ข้อ 51)

ในพระหัตถ์ของพระเจ้า

เมื่อลูกสาวของฉันอายุสิบแปดปี เธอก้าวเข้าสู่ช่วงวัยใหม่ของชีวิตคือการบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย ตอนนี้เธอมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งหน้า และในไม่ช้าก็จะเริ่มใช้ชีวิตหลังเรียนจบมัธยมปลาย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ฉันตระหนักถึงความเร่งด่วนว่า ฉันเหลือเวลาอันมีค่าที่เธอยังอยู่ในการดูแลของฉันอีกไม่มากแล้ว ที่จะถ่ายทอดสติปัญญาที่เธอจำเป็นต้องมีในการเผชิญกับโลกนี้ด้วยตัวเอง เช่น การจัดการด้านการเงิน การระแวดระวังต่อสิ่งเย้ายวนทางโลก และการตัดสินใจอย่างถูกต้อง

การตระหนักถึงหน้าที่ในการสอนลูกสาวให้พร้อมรับมือกับชีวิตเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะฉันรักและปรารถนาให้เธอมีชีวิตที่ดี แต่ขณะทำหน้าที่อันสำคัญนี้ ฉันยังตระหนักด้วยว่านี่ไม่ใช่งานของฉันคนเดียวหรือเป็นงานของฉันตั้งแต่ต้น ในถ้อยคำที่เปาโลกล่าวแก่ชาวเธสะโลนิกา กลุ่มคนที่ท่านถือว่าเป็นบุตรในความเชื่อเพราะท่านได้สอนพวกเขาเกี่ยวกับพระเยซู ท่านตักเตือนให้พวกเขาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน (1ธส.5:14-15) แต่ที่สุดแล้วท่านได้มอบการเติบโตของพวกเขาไว้กับพระเจ้า ท่านยอมรับว่าพระเจ้าจะทรง “ชำระ [พวกเขา] ให้บริสุทธิ์หมดจด” (ข้อ 23 TNCV)

เปาโลวางใจให้พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ท่านไม่สามารถทำได้ คือการเตรียม “วิญญาณ จิตใจ และร่างกาย” ของพวกเขาเพื่อการเสด็จกลับมาของพระเยซู (ข้อ 23) แม้จดหมายของท่านถึงชาวเธสะโลนิกาจะมีคำแนะนำต่างๆ แต่การที่ท่านไว้วางใจในพระเจ้าในเรื่องความเป็นอยู่ของพวกเขาและการทรงจัดเตรียมสอนเราว่า ที่สุดแล้วการเติบโตในชีวิตของผู้คนที่เราห่วงใยนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า (1คร.3:6)

เมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อ

ฤดูใบไม้ผลิที่แล้ว ในคืนก่อนที่เราจะเติมอากาศให้กับสนามหญ้านั้น มีพายุลมแรงได้พัดเอาเมล็ดของต้นเมเปิ้ลร่วงหล่นลงมาด้วยการพัดเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเมื่อเครื่องเติมอากาศแยกดินที่ยึดกันแน่นโดยการดึง “แกน” เล็กๆออกจากดิน มันก็ได้ปลูกเมล็ดเมเปิ้ลกว่าร้อยเมล็ดในสวนของฉัน อีกเพียงสองอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันก็มีป่าต้นเมเปิ้ลที่เริ่มโตขึ้นในสนามหญ้า!

เมื่อฉันเริ่มสำรวจเจ้าต้นไม้ที่อยู่ผิดที่ผิดทางนี้ (ด้วยความหงุดหงิดใจ) ฉันประหลาดใจกับความอุดมสมบูรณ์ของชีวิตใหม่จำนวนมากที่เริ่มต้นขึ้นจากต้นไม้เพียงต้นเดียว สำหรับฉันต้นไม้เล็กๆแต่ละต้นกลายเป็นภาพของชีวิตใหม่ในพระคริสต์ ซึ่งฉันในฐานะคนหนึ่งคนสามารถแบ่งปันกับคนอื่นได้ เราแต่ละคนจะมีโอกาสนับไม่ถ้วนที่จะ “ตอบทุกคน...ว่าท่านมีความหวังใจเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด” (1 ปต.3:15) ในช่วงชีวิตของเรา

เมื่อเรา “ทนทุกข์เพราะเหตุประพฤติการชอบธรรม” ด้วยความหวังในพระเยซู (ข้อ 14) คนรอบข้างจะมองเห็นและสิ่งนี้อาจสร้างความสงสัยแก่คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว หากเราพร้อมเมื่อพวกเขาถาม เราอาจได้แบ่งปันเมล็ดพันธุ์นั้นที่พระเจ้าจะนำมาซึ่งชีวิตใหม่ เราไม่จำเป็นต้องแบ่งปันกับทุกคนภายในครั้งเดียวเหมือนกับเป็นลมพายุฝ่ายจิตวิญญาณอะไรแบบนั้น แต่เราหย่อนเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อลงไปในหัวใจที่พร้อมจะรับได้ด้วยความอ่อนโยนและอ่อนสุภาพ

การค้นพบสิ่งทรงสร้าง

ครูเบรา-โวรอนญ่าเป็นถ้ำในประเทศจอร์เจีย ทวีปยูเรเซียที่มีความลึกที่สุดในโลกเท่าที่มีการค้นพบมา คณะนักสำรวจได้ทำการสำรวจความลึกที่มืดและน่ากลัวซึ่งส่วนใหญ่เป็นโพรงแนวดิ่งความยาวถึง 2,197 เมตร หรือเท่ากับ 7,208 ฟุตลึกลงไปในพื้นโลก! ถ้ำที่คล้ายกันซึ่งมีอยู่ประมาณสี่ร้อยแห่งตั้งอยู่ในส่วนอื่นๆของประเทศและทั่วโลก การค้นพบถ้ำใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลาและมีการบันทึกสถิติความลึกใหม่ๆเอาไว้

ความลึกลับของสรรพสิ่งยังคงถูกเปิดเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความรู้เกี่ยวกับจักรวาลที่เราอาศัยอยู่เพิ่มพูนมากขึ้น และทำให้เราต้องอัศจรรย์ใจกับความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในฝีพระหัตถ์พระเจ้าบนโลกนี้ที่พระองค์เรียกให้เราดูแล (ปฐก.1:26-28) ผู้เขียนสดุดีเชิญชวนให้เรา “ร้องเพลง” และ “กระทำเสียงชื่นบาน” ถวายพระเจ้าเพราะความยิ่งใหญ่ของพระองค์ (ข้อ 1) ในขณะที่เราจะเฉลิมฉลองวันคุ้มครองโลกในวันพรุ่งนี้ ให้เราพิจารณาพระราชกิจแห่งการทรงสร้างอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า ทุกสิ่งในพระราชกิจนั้นทั้งที่เราค้นพบแล้วหรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นเหตุผลให้เราก้มกราบนมัสการพระองค์ (ข้อ 6)

พระเจ้าไม่เพียงทรงรู้ถึงความใหญ่โตและขนาดของสิ่งที่ทรงสร้าง แต่ยังทรงรู้ถึงความลึกล้ำในใจของเราทั้งหลายด้วย และเราจะต้องพบเจอกับฤดูกาลของชีวิตที่มืดและอาจจะน่ากลัวเช่นเดียวกับถ้ำในจอร์เจีย แต่เรารู้ว่าเวลาเหล่านั้นจะอยู่ในการทรงดูแลอันทรงฤทธิ์แต่อ่อนโยนของพระเจ้า ผู้เขียนสดุดีบันทึกไว้ว่า เราเป็นประชากรของพระเจ้า เป็น “แกะแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (ข้อ 7)

การรักษาที่ลึกกว่าเดิม

ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ปี 2020 รูปปั้นพระคริสต์พระผู้ไถ่ ที่มีชื่อเสียงซึ่งมองไปยังเมืองริโอ เดอ จาเนโรในประเทศบราซิลได้รับการประดับไฟให้ดูเหมือนว่าพระองค์ทรงสวมชุดแพทย์ การนำเสนอภาพของพระคริสต์ในฐานะแพทย์นั้นก็เพื่อเป็นการยกย่องบุคลากรด้านสาธารณสุขในแนวหน้าที่กำลังต่อสู้กับการระบาดครั้งใหญ่ของไวรัสโคโรนา ภาพนั้นทำให้คำบรรยายที่พูดถึงพระเยซูว่าทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่นั้นดูมีชีวิตขึ้นมา (มก.2:17)

พระเยซูทรงรักษาคนมากมายจากความเจ็บป่วยทางกายในขณะทรงทำพระราชกิจบนโลก ไม่ว่าจะเป็นชายตาบอดบารทิเมอัส (มก.10:46-52) คนโรคเรื้อน (ลก.5:12-16) คนง่อย (มธ.9:1-8) นี่เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นพระองค์แสดงความห่วงใยในสุขภาพของผู้ที่ติดตามพระองค์โดยทรงทวีคูณอาหารธรรมดาๆเพื่อเลี้ยงดูฝูงชนที่หิวโหย (ยน.6:1-13) การอัศจรรย์แต่ละครั้งเปิดเผยถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และความอันรักแท้จริงของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์

อย่างไรก็ตามการเยียวยารักษาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระองค์ คือการยอมสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ ที่ได้พยากรณ์ไว้โดยผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ว่า “ที่ท่าน [พระเยซู]ต้องฟกช้ำนั้นก็ให้เราหายดี” จากความทุกข์ที่เลวร้ายที่สุดของเรา นั่นคือการแยกขาดจากพระเจ้าจากผลของความบาป (อสย.53:5) แม้พระเยซูไม่ได้รักษาความเจ็บป่วยทั้งหมดของเรา แต่เราวางใจได้ว่าพระองค์จะทรงรักษาความต้องการในส่วนที่ลึกที่สุดของเรา นั่นคือการเยียวยารักษาที่นำเรากลับมาสู่ความสัมพันธ์กับพระเจ้าอีกครั้ง

ดนตรีบำบัด

เมื่อเบลล่าวัยห้าขวบต้องเข้ารับการรักษาโรคมะเร็งที่โรงพยาบาลในรัฐนอร์ทดาโกต้า เธอได้รับการบำบัดด้วยดนตรีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรักษา หลายคนเคยได้สัมผัสถึงผลลัพธ์อันทรงพลังของดนตรีที่มีต่ออารมณ์แม้จะไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด แต่เมื่อไม่นานมานี้นักวิจัยหลายคนได้ทำการบันทึกข้อมูลทางคลีนิคถึงผลดีในการรักษา ในขณะนี้ดนตรีได้ถูกกำหนดให้ใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเหมือนกับเบลล่า และผู้ป่วยอื่นๆที่กำลังทนทุกข์จากโรคพาร์กินสัน ภาวะสมองเสื่อม และผู้บอบช้ำทางจิตใจ

กษัตริย์ซาอูลทรงเข้าหาดนตรีบำบัดเมื่อพระองค์ทุกข์ทรมาน มหาดเล็กเห็นความทรมานของพระองค์และแนะนำให้หาคนที่สามารถดีดพิณถวาย โดยหวังจะทำให้พระองค์ “หายดี” (1ซมอ.16:16) พวกเขานำเสนอดาวิดบุตรชายของเจสซี และซาอูลทรงพอพระทัยในตัวดาวิดและขอให้ดาวิด “อยู่รับราชการ [กับพระองค์]” (ข้อ 22) ดาวิดดีดพิณถวายซาอูลเมื่อพระองค์ขาดความสงบสุข ทำให้พระองค์ผ่อนคลายจากความปวดร้าว

เราอาจเพิ่งค้นพบทางวิทยาศาสตร์ถึงผลลัพธ์ของดนตรีที่มีต่อเราซึ่งพระเจ้าทรงทราบมาตั้งแต่แรก ในฐานะพระผู้สร้างทั้งร่างกายของเราและดนตรีนั้น พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมยาเพื่อสุขภาพที่พร้อมให้เราทุกคนเข้าถึงได้ไว้แล้วไม่ว่าเราจะอยู่ในยุคสมัยใด หรือการไปพบแพทย์จะเป็นเรื่องยากง่ายเพียงไรแม้กระทั่งในเวลาที่ไม่มีหนทางให้เราได้สดับฟัง เราก็ยังสามารถร้องเพลงถวายพระเจ้าในท่ามกลางความสุขและในยามทุกข์ของเรา (สดด.59:16; กจ.16:25)

ปกป้องใจของคุณ

หลังจากที่อับราฮัม วัลด์ นักคณิตศาสตร์ชาวฮังการีมาถึงสหรัฐในปีค.ศ.1938 เขาได้ทุ่มเทความสามารถให้กับการรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพกำลังหาวิธีปกป้องอากาศยานจากการยิงของศัตรู วัลด์และเพื่อนร่วมงานในกลุ่มวิจัยทางสถิติถูกขอให้หาวิธีที่ดีกว่าเดิมในการป้องกันอากาศยานจากการโจมตี พวกเขาเริ่มจากตรวจสอบเครื่องบินที่บินกลับมาเพื่อดูว่าจุดใดเสียหายมากที่สุด แต่ผลงานอันเป็นที่ยอมรับของวัลด์คือการวิเคราะห์อันเฉียบคมว่าความเสียหายบนตัวเครื่องบินที่บินกลับมานั้นบ่งบอกได้เพียงว่าเครื่องบินถูกโจมตีที่จุดใดและยังคงรอดกลับมาได้ เขาพบว่าจุดที่จำเป็นต้องเสริมเกราะมากที่สุดจะพบได้บนเครื่องบินที่ตก ซึ่งถูกโจมตีตรงส่วนที่เปราะบางที่สุดคือเครื่องยนต์ ก็จะตกและไม่สามารถนำมาตรวจสอบได้

ซาโลมอนสอนเราถึงการปกป้องส่วนที่เปราะบางที่สุด นั่นคือหัวใจของเรา พระองค์สอนบุตรชายของพระองค์ให้ “รักษาใจ [ของเขา]” เพราะทุกสิ่งก็ออกมาจากใจ (สภษ.4:23) คำแนะนำของพระเจ้าจะนำทางชีวิตเราหันเราออกจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด และสอนเราว่าควรจะมุ่งความสนใจไปที่ใด

หากเราสวมเกราะให้กับใจของเราด้วยการเอาใจใส่ในคำสอนของพระองค์ เราก็จะ “กลับ [เท้าของเรา] เสียจากความชั่วร้าย” และยังคงดำเนินไปกับพระเจ้าอย่างมั่นคง (ข้อ 27) เราเสี่ยงภัยในดินแดนของศัตรูอยู่ทุกวัน แต่ด้วยพระปัญญาของพระเจ้าที่ปกป้องหัวใจของเรา เราจึงสามารถจดจ่อกับภารกิจในการดำเนินชีวิตให้ดีเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

ที่ทำรัง

นกนางแอ่นทรายเป็นนกนางแอ่นขนาดเล็กที่ขุดรูทำรังตามริมตลิ่งแม่น้ำ การพัฒนาที่ดินในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอังกฤษทำให้ที่อยู่อาศัยของพวกมันลดลง และแต่ละปีเมื่อพวกมันกลับมาจากการอพยพย้ายถิ่นในฤดูหนาวมันจะมีที่ให้ทำรังน้อยลงเรื่อยๆ นักอนุรักษ์ท้องถิ่นรีบลงมือสร้างสันทรายเทียมขนาดมหึมาเพื่อให้นกใช้เป็นที่อยู่อาศัย ด้วยการช่วยเหลือของบริษัทรับปั้นทราย พวกเขาปั้นทรายเพื่อสร้างที่อยู่ให้นกได้อาศัยต่อไปอีกหลายปี

การช่วยเหลือนกนี้เป็นภาพสะท้อนอันชัดเจนของคำตรัสที่พระเยซูทรงปลอบประโลมสาวกของพระองค์ หลังจากทรงบอกพวกเขาว่าพระองค์จะเสด็จจากไปและพวกเขาจะยังไปกับพระองค์เดี๋ยวนั้นไม่ได้ (ยน.13:36) พระองค์ประทานความมั่นใจแก่พวกเขาว่าพระองค์จะ “เตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย” ในสวรรค์ (14:2) ถึงแม้พวกเขามีเหตุผลที่จะเสียใจเมื่อพระเยซูตรัสว่าจะจากพวกเขาไปในอีกไม่ช้า และพวกเขายังตามพระองค์ไปไม่ได้ แต่พระองค์ประทานกำลังใจให้พวกเขามองภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์นี้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการตระเตรียมเพื่อต้อนรับพวกเขา และเราทั้งหลาย

หากปราศจากการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูบนไม้กางเขน “ที่อยู่เป็นอันมาก” ในพระนิเวศของพระบิดาจะไม่สามารถต้อนรับพวกเขาได้เลย (ข้อ 2) การที่พระคริสต์เสด็จไปล่วงหน้าเพื่อเตรียมที่ไว้เป็นการรับประกันว่า พระองค์จะเสด็จกลับมาและพาผู้ที่เชื่อวางใจในการเสียสละของพระองค์ไปอยู่กับพระองค์ ที่นั่นเราจะได้อาศัยอยู่กับพระองค์อย่างชื่นชมยินดีตลอดนิรันดร์

เต้นเป็นจังหวะเดียวกัน

เรื่องราวต่างๆเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจมนุษย์มาตั้งแต่การทรงสร้างได้เริ่มต้นขึ้น เป็นวิธีถ่ายทอดความรู้ก่อนที่ภาษาเขียนจะเกิดขึ้น เราทุกคนต่างรู้ดีถึงความเพลิดเพลินของการฟังหรือการอ่านเรื่องราว และรู้สึกมีส่วนร่วมในทันทีกับประโยคเริ่มเรื่อง เช่น “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” พลังของเรื่องราวไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่การให้ความเพลิดเพลิน เมื่อเราฟังเรื่องราวไปพร้อมๆกัน หัวใจของเราดูเหมือนจะเต้นสอดประสานเข้าด้วยกัน! แม้หัวใจของเราจะเต้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละวันและอาจตรงกับของผู้อื่นเข้าโดยบังเอิญ แต่งานวิจัยใหม่ระบุว่า หัวใจของเราทุกคนอาจเต้นเป็นจังหวะเดียวกันเมื่อเราได้ยินเรื่องราวเดียวกันในเวลาเดียวกัน

พระเจ้าทรงเริ่มเล่าเรื่องราวของพระองค์ให้เราฟังด้วยคำว่า “ในปฐมกาล” (ปฐก.1:1) เมื่ออาดัมและเอวาเริ่มหายใจเป็นครั้งแรก (ข้อ 27) พระเจ้าไม่เพียงแต่ใช้เรื่องราวที่พระองค์ทรงสำแดงเพื่อหล่อหลอมชีวิตของเราเป็นรายคน แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือ ชีวิตของเราทุกคนรวมกันในฐานะบุตรของพระองค์ หัวใจของเราในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู ผู้ซึ่งถูกแยกออกมาเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ (1 ปต.2:9) จะถูกหลอมรวมกันผ่านพระคัมภีร์ซึ่งเป็นเรื่องราวจริงที่ไม่ใช่นวนิยาย และมีความงดงามที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้

ขอให้หัวใจของเราตอบสนองด้วยการเต้นเป็นจังหวะเดียวกันขณะที่เราร่วมยินดีในผลงานที่สร้างสรรค์ของผู้ประพันธ์ และขอให้เราแบ่งปันเรื่องราวของพระองค์กับผู้อื่น โดยประกาศถึง “พระสิริของพระองค์ท่ามกลางบรรดาประชา-ชาติ ถึงการอัศจรรย์ของพระองค์ท่ามกลางบรรดาชนชาติทั้งหลาย” (สดด.96:3) และเชื้อเชิญให้พวกเขาร่วมกันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวนี้

เราใช้คุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ หากท่านใช้บริการเว็บไซต์นี้ต่อไป นั่นเป็นการแสดงว่าท่านยอมรับ นโยบายการใช้คุกกี้ของเรา